ถึงแม้ว่าในขณะนี้เมืองไทยเรามีการพัฒนาในด้านอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปกว่าแต่ก่อนอย่างมาก แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรายังมองข้าม คือความสนใจในการพัฒนานำเครื่องทุ่นแรง
(Material Handling) มาใช้ประโยชน์ยังมีอยู่น้อย
(Material Handling) มาใช้ประโยชน์ยังมีอยู่น้อย
ความจริงแล้วหากมีการนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับงานจะทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก สามารถประหยัดเนื้อที่โกดังเก็บสินค้าและวัตถุดิบเป็นการพยายามใช้ประโยชน์ตามแนวตั้งให้มากขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายและแรงงานได้ รถยกนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องทุ่นแรงที่ใช้ประโยชน์กันได้แทบทุกโรงงาน ซึ่งความจริงแล้วมีให้เลือกใช้งานหลายรูปแบบหากจะแบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆ ก็แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. รถยกระดับต่ำ (Low Lift Trucks) รถยกแบบนี้เป็นเครื่องทุ่นแรงที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของหนักๆไปตามพื้นราบ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ระยะยกจะเตี้ยเพียง 4 นิ้ว ถึง 6 นิ้ว โดยมีจุดประสงค์เพียงให้ของที่จะยกอยู่พ้นจากพื้นในขณะที่เราลากเคลื่อนที่เท่านั้น ตัวอย่างการใช้งาน เช่น ขยับเครื่องจักรให้พ้นจากพื้น เพื่อหนุนหมอนรอง, การใช้เคลื่อนย้ายแม่พิมพ์เหล็กที่มีน้ำหนักมากๆจากโกดังมายังจุดที่ใช้งาน, หรือการเคลื่อนย้ายสินค้าที่วางบนแท่นไม้ (Pallet)
รถยกระดับต่ำ แบบที่นิยมใช้กันมากเรียกว่า Pallet Truck ซึ่งมีลักษณะเป็น 2 งายกมีล้อเล็กๆ อยู่ที่ส่วนปลายของงายกซึ่งสามารถยกให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย เมื่อต้องการยกของแล้วลากไปหรือหดให้ต่ำลงในขณะที่ต้องการจะช้อนของขึ้น โดยอาศัยระบบไฮดรอลิกในการผ่อนกำลังขณะยก ล้อหลังเป็นล้อคู่ใหญ่ ซึ่งบังคับเลี้ยวได้ด้วย มีคั้นโยกเพื่อบังคับปั้มไฮครอลิกให้ยกของขึ้น-ลง และใช้ลากจูงพร้อมทั้งบังคับเลี้ยวไปได้ในตัว
รถยกระดับต่ำ แบบที่นิยมใช้กันมากเรียกว่า Pallet Truck ซึ่งมีลักษณะเป็น 2 งายกมีล้อเล็กๆ อยู่ที่ส่วนปลายของงายกซึ่งสามารถยกให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย เมื่อต้องการยกของแล้วลากไปหรือหดให้ต่ำลงในขณะที่ต้องการจะช้อนของขึ้น โดยอาศัยระบบไฮดรอลิกในการผ่อนกำลังขณะยก ล้อหลังเป็นล้อคู่ใหญ่ ซึ่งบังคับเลี้ยวได้ด้วย มีคั้นโยกเพื่อบังคับปั้มไฮครอลิกให้ยกของขึ้น-ลง และใช้ลากจูงพร้อมทั้งบังคับเลี้ยวไปได้ในตัว
รถ Pallet Truck นี้นับได้ว่าเป็นรถยกที่มีราคาถูกที่สุด จึงมีผู้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเกือบทุกโรงงาน อย่างไรก็ตามผู้ผลิตรถ Pallet Truck ก็ได้พยายามคิดค้นปรับปรุงคุณภาพของรถยกให้เหมาะสมกับการใช้งานลักษณะต่างๆ เช่น มีการพัฒนาล้อหน้าที่เป็นงายก ซึ่งปกติเป็นล้อเดี่ยว อาจมีปัญหาในการใช้งานตามพื้นที่ที่ขรุขระหรือการลากขึ้นเนินมีการดัดแปลงเป็นล้อคู่ ทำให้ลากผ่านพื้นที่ขรุขระได้อย่างสะดวก อีกทั้งเป็นการเฉลี่ยน้ำหนักที่ถ่ายลงพื้นอีกด้วย เพราะมีจุดถ่ายน้ำหนักเพิ่มเป็น 6 จุด
นอกจากนี้แล้ววัสดุที่ใช้ทำล้อยังมีหลายชนิด เช่น เป็นล้อไนล่อน (Nylon) เหมาะกับพื้นที่แข็งและเรียบ เพราะล้อไนล่อนจะสึกหรอได้ยากแต่ลื่นทำให้เบาแรงแต่ถ้าจะลากบนพื้นที่อ่อน เช่น พื้นไม้หรือต้องการไม่ให้เกิดเสียงดังในขณะลากผ่านก็จะใช้ล้อโพลียูรีเทน (Polyurethane) แต่ถ้าลากผ่านพื้นที่เป็นกรวดหรือขรุขระมากๆอาจจะทำลายล้อได้ง่าย ก็จะใช้ล้อเหล็กแทน
เนื่องจากสภาพในโรงงานต่างๆไม่เหมือนกัน บางโรงงานจะมีสภาพที่เปียกน้ำอยู่เสมอ บางโรงงานจะต้องอยู่ในบรรยากาศที่ร้อนหรือเย็นจัด หรืออยู่ในสภาพที่มีการกัดกร่อนมากกกว่าปกติ ดังนั้นการเลือกใช้รถยก Pallet Truck จำเป็นต้องเลือกชนิดที่ผู้ผลิตได้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ เช่นแกนล้อเป็นสเตนเลส งายกทำด้วยเหล็กชุบสังกะสี นอกจากนี้แล้วเพื่อเหมาะกับการวางของหลายๆชิ้น ก็มีการสร้างรถยกที่เป็นพื้นเรียบใหญ่แทน ที่จะเป็นขา 2 ขาให้เลือกใช้อีกด้วย เป็นต้น
เพื่อจะเป็นการผ่อนแรงสำหรับการปฏิบัติงานของพนักงานที่ต้องการลากของหนักๆ ก็มีการพัฒนารถยก Pallet Truck แบบติดตั้งมอเตอร์ช่วยผ่อนแรงโดยมีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานทำให้สามารถยกและลากของหนักได้ถึง 3 ตัน
2. รถยกระดับสูง (High Lift Trucks) รถยกแบบนี้เป็นเครื่องทุ่นแรงซึ่งนอกจะใช้เคลื่อนที่ของหนักไปตามพื้นที่ราบแล้ว ยังใช้ยกของขึ้นวางบนหอที่อยู่สูงได้ นับเป็นเครื่องทุ่นแรงที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บสินค้า และวัตถุดิบในโกดังให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และประหยัดพื้นที่ได้อย่างสูงมาก ด้วยเครื่องทุ่นแรงนี้สินค้าหรือวัตถุดิบจะวางบนกระบะไม้ รถจะยกช้อนทั้งกระบะไปวางบนหิ้งหรือถ้าสินค้ามีภาชนะบรรจุที่รับน้ำหนักได้ เช่น เป็นถัง ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีหิ้งแต่จะใช้วิธีช้อนกระบะขึ้นไปก็ได้
รถยกระดับสูงนี้มีผู้ผลิตสร้างขึ้นมาหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของลูกค้าโดยพยายามให้ตัวรถมีขนาดเล็ก มีความคล่องตัวในการหมุนกลับตัว เพื่อจะไปแทรกตัวเข้าไปในช่องทางเดินระหว่างชั้นเก็บของได้สะดวก ทำให้ไม่ต้องเผื่อที่กว้างนักจะได้จัดโกดังได้ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานอีกด้วย จึงได้เกิดรถยกระดับสูงหลายรูปแบบซึ่งจะขอยกตัวอย่าง 3 รูปแบบในที่นี้
2.1 รถยกแบบเดินตาม (Pedestrain stacker) เป็นรถยกระดับสูงที่กินเนื้อที่น้อยที่สุด สามารถมุดเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ (Container) ซึ่งกระบะของรถบรรทุกหรือเข้าไปในตู้รถไฟได้ รถชนิดนี้ผู้ปฏิบัติงานเคลื่อนไหวได้อิสระจะยืนที่ตำแหน่งใดรอบตัวรถก็ได้ ทำให้มองเห็นทัศนียภาพได้ชัดเจน มีมอเตอร์ช่วยผ่อนแรงในการยกน้ำหนักและการเคลื่อนที่ ในขณะที่รถแล่นอาจจะปล่อยที่วางเท้าลงแล้วผู้ปฏิบัติงานยืนบนที่วางเท้าทำให้สบายขึ้น ระบบความปลอดภัยก็ได้จัดให้มีที่ป้องกันเท้าไม่ให้สอดเข้าไปทุกล้อ เพื่อป้องกันล้อทับเท้าได้ นอกจากนี้ยังมีระบบเบรกและคันโยกบังคับ ที่มีปุ่มบังคับต่างๆอยู่พร้อม ทำให้ปฏิบัติงานได้สะดวก จุดศูนย์ถ่วงได้รับการออกแบบให้อยู่ภายในตัวรถทำให้ปลอดภัยไม่คว่ำขณะยกของขึ้นสูง รถชนิดนี้จึงเหมาะกับงานที่มีการเคลื่อนที่ไม่ไกลและยกน้ำหนักไม่มากนัก โดยปกติแล้วผู้ผลิตจะออกแบบให้สามารถยกน้ำหนักได้ประมาณ 1.2 ตัน ยกได้สูงที่สุดประมาณ 5 เมตร ในขณะที่เคลื่อนที่อาจจะอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 145 มิลลิเมตร เพื่อไม่ให้ขูดถูกพื้น และความเร็วในการเคลื่อนที่ประมาณ
6-8 กม./ชม
6-8 กม./ชม
2.2 รถยกแบบยืน (stand on stacker) เ นื่องจากโกดังบางแห่งมีการกองสินค้าหรือวัตถุดิบไว้สูงมาก โรงงานบางแห่งก็มีโรงซ่อมบำรุงซึ่งมักมีกองวัสดุเหลือใช้ค่อนข้างไม่เป็นระเบียบ อาจเกิดอันตรายได้ง่าย จึงมีการออกแบบรถยกแบบยืน ที่ให้ผู้ปฏิบัติงานยืนอยู่ในเสา 4 เสาที่แข็งแรงป้องกันอันตรายจากของหล่นทับลงมาบนศีรษะเขาได้ ถ้ามีอะไรมากระแทกก็จะกระแทกถูกเสาก่อน เป็นการรับรองความปลอดภัยให้ผู้ปฏิบัติงาน การบังคับให้รถหยุดก็สามารถบังคับได้ทั้งจากเท้าเหยียบหรือโยกคันโยกด้วยมือ ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถยืนอยู่บนเท้าทั้งสองได้ไม่ต้องยืนเท้าเดียวซึ่งอาจไม่ถนัด
รถยกแบบนี้จึงเหมาะสมกับงานที่ต้องการความปลอดภัยและต้องมีการยกขึ้นลงบ่อยๆมีการเคลื่อนที่ไม่ไกลนัก
2.3 รถยกแบบนั่ง (Rider seated stacker)
ในกรณีที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายไประยะไกลขึ้นหรือต้องการทำงานติดต่อกันตลอดทั้งวัน จำเป็นต้องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น คือ ทำที่นั่งให้ภายในตัวรถ ซึ่งจะทำให้กินเนื้อที่มากกว่าแบบยืนเล็กน้อย รถชนิดนี้จะแปลกสักหน่อยที่ผู้ปฏิบัติงานจะนั่งหันข้างให้กับการเคลื่อนที่ ทั้งนี้ต้องออกแบบให้กะทัดรันที่สุด รถประเภทนี้มีอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนกับรถขับ มีคันเร่ง มีเบรกที่บังคับด้วยเท้า ความเร็วในขณะเคลื่อนที่ประมาณ 8-12 กม./ชม. ผู้ปฏิบัติงานจะได้รับการป้องกันด้วยเสารอบด้าน และหลังคาด้านบน
ในกรณีที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายไประยะไกลขึ้นหรือต้องการทำงานติดต่อกันตลอดทั้งวัน จำเป็นต้องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น คือ ทำที่นั่งให้ภายในตัวรถ ซึ่งจะทำให้กินเนื้อที่มากกว่าแบบยืนเล็กน้อย รถชนิดนี้จะแปลกสักหน่อยที่ผู้ปฏิบัติงานจะนั่งหันข้างให้กับการเคลื่อนที่ ทั้งนี้ต้องออกแบบให้กะทัดรันที่สุด รถประเภทนี้มีอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนกับรถขับ มีคันเร่ง มีเบรกที่บังคับด้วยเท้า ความเร็วในขณะเคลื่อนที่ประมาณ 8-12 กม./ชม. ผู้ปฏิบัติงานจะได้รับการป้องกันด้วยเสารอบด้าน และหลังคาด้านบน
รถยกแบบนั่งอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในเมืองไทย คือรถ Fork lift ซึ่งผู้ปฏิบัติงานนั่งหันหน้าไปในทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ โดยมีงายก 2 งายกอยู่ด้านหน้ารถ ซึ่งยกขึ้นลงได้สูงและรถขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล, เบนซิน, หรือมอเตอร์ไฟฟ้าตามแต่จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน อย่างไรก็ตามรถแบบนี้จะกินเนื้อที่ยาวกว่าแบบที่กล่าวข้างต้น เวลาเลี้ยวจะต้องตีวงกว้างขึ้น แต่ก็สะดวกในการขับระยะทางไกลระหว่างโกดังต่างๆ เพราะผู้ปฏิบัติงานไม่ต้องบิดคอตลอดเวลา และห้องคนขับก็กว้างขวางกว่าด้วย น้ำหนักตัวรถพร้อมเครื่องมีมาก ทำให้ถ่วงน้ำหนักเป็นผลให้ยกน้ำหนักได้มากขึ้น
นอกจากรถยกแบบต่างๆที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังอาจจะมีแบบพิเศษอื่นที่ผู้ผลิตออกแบบให้เหมาะสมกับงานชนิดพิเศษต่างๆ ดังนั้นหากท่านจะเลือกใช้ต้องสำรวจความต้องการและสภาพในโรงงานของท่าน แล้วเลือกดูจากผู้ผลิตรายต่างๆว่าแบบใดตรงกับความต้องการของท่าน ท่านต้องเลือกทั้งลักษณะการใช้งาน,น้ำหนักที่จะยก, ความสูงที่ต้องการยก, ขนาดความกว้าง, วงเลี้ยว, การขับเคลื่อนวัสดุที่ใช้ในชิ้นส่วนต่างๆ สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้หรือไม่, ฯลฯ รถยกประเภทต่างๆ ในเมืองไทยมีทั้งที่ผลิตในประเทศและที่ส่งเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งย่อมมีข้อดีข้อเสียบางประการแตกต่างกัน จึงขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่ท่านต้องพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับงานของท่าน
จากรูป เมื่อเปรียบเทียบจะได้ตามตาราง
รายการเปรียบเทียบรถโฟล์คลิฟท์
รายการเปรียบเทียบ
|
Counterbalance
|
1 Deep Reach Truck
|
2 Deep Reach Truck
|
VNA
|
ความกว้างเลนรถวิ่ง (เมตร)
|
4.5
|
3.2
|
3.4
|
1.8
|
ความสูงของรถที่สามารถยกได้ (เมตร)
|
4.5
|
11.5
|
11.5
|
16.5
|
% การใช้ปริมาตรคลังสินค้า
|
30
|
50-55
|
70
|
90
|
ราคารถ (ล้านบาท)
|
.70
|
1.5
|
1.8
|
4.3
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น